ประวัติความเป็นมาของธุรกิจคาราโอเกะในเมืองไทย
คำว่า “Karaoke”มาจากภาษาญี่ปุ่น โดย “Kara” แปลว่า ว่างเปล่า และ “Oke” แปลว่า ออเคสต้า รวมกันเข้ามีความหมายถึง เทปที่มีแต่เสียงดนตรี ไม่มีเสียงขับร้อง โดยธุรกิจคาราโอเกะนั้นมีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่นโดยแต่เดิมนั้นคาราโอเกะนิยมใช้ในหมู่บริษัทมิวสิคโปรดักชั่น เพื่อให้นักร้องในสังกัดใช้ร้องเพลง ในกรณีที่ต้องไปเปิดการแสดง จะได้ไม่ต้องหอบหิ้วเครื่องดนตรี รวมถึงนักดนตรี ให้ยุ่งยาก สิ้นเปลือง และเป็นธุรกิจเพื่อความบันเทิงและผ่อนคลาย ปี ค.ศ. 1977 เป็นปีที่คาราโอเกะเริ่มฮิตติดตลาดญี่ปุ่น เพราะถูกกับอุปนิสัยชาวญี่ปุ่นที่ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว และปีค.ศ. 1991 มีการสำรวจพบว่าในประเทศญี่ปุ่นมีร้านอาหารที่ติดตั้งคาราโอเกะจำนวนถึง 70,000 ร้าน มีคนร้องคาราโอเกะรวม 52 ล้านคน
ธุรกิจคาราโอเกะเข้าสู่ประเทศไทยโดยประมาณ พ.ศ. 2520 โดย เริ่มต้นที่ย่าน "ธนิยะ" สถานประกอบการกลางคืน โดยบนถนนธนิยะในอดีตจะเป็นศูนย์กลาง สำหรับนักธุรกิจนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ในยุคแรกรูปแบบของคาราโอเกะในประเทศไทยกลุ่มของลูกค้าเป็นคนกลางคืนเสียส่วนใหญ่และโดนมองในภาพลบเสียมากกว่า เพราะจะมีเหล้าสาเก , เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ รวมถึงมีผู้หญิงไว้คอยบริการ โดยรูปแบบของคาราโอเกะแรกๆ ที่นำมาใช้ เรียกกันว่า "ดนตรี แปดแทรค" คือจะมีเครื่องเล่น และม้วนเทปที่มีลักษณะคล้ายกับเทปเพลงทั่วไป แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเทปธรรมดาสักหน่อย ลักษณะการใช้เช่นเดียวกับการเปิดเทปเพลงแต่แตกต่างกันที่เครื่องเล่นชนิดนี้จะไม่มีเสียงร้องมีเฉพาะเสียงดนตรีเพียงอย่างเดียว ลูกค้าที่มาเที่ยวจะร้องเพลง โดยมีเนื้อเพลงเขียนไว้ในกระดาษกางเอาไว้ ให้ดูและร้องตามไป
ในปีพ.ศ. 2545 ประเทศเริ่มมีการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์เผยแพร่และค่าทำซ้ำต่อสาธารณชน ตามเงื่อนไขของ WTO ที่ต้องดูแลและให้ความสำคัญต่อเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งการจัดเก็บเริ่มต้นในธุรกิจของคาราโอเกะเป็นลำดับแรก โดยมีบริษัทแกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด มหาชนเป็นบริษัทแรกที่ออกมาทำการจัดเก็บ และตามมาด้วยบริษัทอาร์เอส โปรชั่น จำกัด , บริษัทลิขสิทธิ์เพลง จำกัด และบริษัทอื่นๆอีกมากมายรวม15บริษัทที่ทำการจัดเก็บค่าเผยแพร่อย่างจริงจัง นอกเหนือจากบริษัทเทียก้า(TECA) ที่เป็นบริษัทดูแลลิขสิทธิ์ของเพลงสากล ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจคาราโอเกะเกิดต้นทุนและความสับสนในการใช้เพลงของบริษัทต่างๆเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการที่ปรับตัวไม่ได้และไม่สามารถสู้ต้นทุนได้ปิดตัวลงไป เป็นช่วงที่ธุรกิจคาราโอเกะหยุดชะงักและมีการชะลอตัว จนกระทั่งในปี 2546 ที่ผู้ประกอบการเริ่มมีความเข้าใจในเรื่องของลิขสิทธิ์เละเลือกใช้เพลงของบริษัทต่างๆได้เป็นอย่างดีแล้วจึงดำเนินธุรกิจคาราโอเกะต่อไป แต่ทั้งนี้สำหรับตลาดล่างได้แก่ตู้คาราโอเกะนั้นยังคงได้รับผลกระทบสูงจากการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์อยู่ที่ทำให้ธุรกิจคาราโอเกะของตลาดล่างค่อนข้างชะลอตัวและซบเซาสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน ในขณะที่ตลาดบนหรือร้านคาราโอเกะทั่วไปยังสามารถที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้เนื่องจากมีการให้บริการอื่นๆเสริมและเก็บค่าใช้เป็นการเช่าชั่วโมงห้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น